News

กูรูแนะกลยุทธ์เดือน เม.ย. “ขายทำกำไร” หาก SET ทะลุ 1,700 จุด

โบรกเกอร์เปิดกลยุทธ์ลงทุนหุ้นเดือน เม.ย. กสิกรฯ ระบุ ยังไม่เพิ่มน้ำหนักพอร์ตการลงทุน มองระยะถัดไป SET Index มีโอกาส Underpeform ส่วนหุ้นกลุ่ม Growth มีโอกาส Outperform แนะนำ Trading ขณะที่ CGS-CIMB ประเมินหากสัปดาห์หน้าขึ้นผ่าน 1,700 จุด แต่ไม่ผ่าน 1,710-1,720 จุด แนะขายทำกำไรบางส่วน แต่หากผ่านมีโอกาสไปที่ 1,730-1,740 จุด ส่วนโนมูระ มองหุ้นน่าจับตา Summer Play เครื่องดื่ม-โรงหนัง และกลุ่ม รพ.ที่มีกำไรเด่น

บล.กสิกรฯ ระบุ 4 ปัจจัยหลัก ยังไม่ให้เพิ่มน้ำหนักลงทุน

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จากบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS คาดว่า เดือน เม.ย. ตลาดหุ้นโลก และ SET Index มีโอกาสพักฐานสั้นๆ หลังจากมีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. ถึงปัจจุบัน หรือรวม 2 สัปดาห์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี Nasdag +12.5% ดัชนี Dow Jones+5.5% ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี CAC ผรั่งเศส +4.8%

ส่วน SET index +3.3% โดยดัชนีหุ้นไทยขึ้นมาในระดับเท่ากับก่อนเกิดสงครามแล้ว และคาดว่ายังติดแนวต้านสำคัญ 1,700 จุด

ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำตามเดิมคือ ในช่วงนี้ไม่เพิ่มน้ำหนักพอร์ตการลงทุนในระดับดัชนีบริเวณ 1,700 จุด ประเมินตลาดหุ้นสัปดาห์หน้ามีโอกาสอ่อนตัว โดยประเมินแนวรับสำคัญ 1,665 จุด มุมมองคาดตลาดจะอ่อนตัว เนื่องจาก 4 ปัจจัยหลัก คือ

1.) ช่วงต้น เม.ย.65 ตลาดหุ้นโลกจะเผชิญกับ IMF Downgrade World GDP Growth ประเมินมีโอกาสที่โทนการปรับลงในหลายประเทศ โดยเฉพาะฝั่งยุโรปมีโอกาสถูกปรับลด GDP ลง เพราะได้รับผลกระทบจากสงครามสูงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ รวมถึงกระแสความกังวลเศรษฐกิจถดถอยยังมีหลังจากเกิด Inverted Yield Curve สะท้อนผ่าน 10-2 Year Treasury Yield Spread ล่าสุดอยู่ที่ 1 bpsใกล้ 0 (ในอดีตหากติดลบมักจะตามด้วยการเศรษฐกิจถดถอย 6-12 เดือนข้างหน้า)

KS ประเมินในระยะสั้นยังไม่น่ากังวล เพราะปัจจุบัน Yield Curve ยังเป็นลักษณะ Bearish flattening และคาดการโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) ใน Bloomberg คาดสหรัฐฯ โอกาสเกิดยังต่ำอยู่ที่ 20% แต่ช่วงสั้นตลาดหุ้นยังกังวลและมีโอกาสเห็นการ Take Profit

2.) สงครามรัสเซีย-ยูเครนมีโอกาสยืดเยื้อ โดยต้องติดตามการเจรจาเพื่อสันติภาพรัสเซีย-ยูเครนในรูปแบบออนไลน์ ล่าสุด เห็นการกลับมาปะทะกัน และประธานาธิบดีปูตินยังคงคำสั่งให้ธนาคารรัสเซียต่างๆ เริ่มเปิดรับชำระค่าพลังงานจากประเทศฝั่งตรงข้ามด้วยเงินรูเบิลของรัสเซียเท่านั้น หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขจะถูกยกเลิกสัญญา KS ให้น้ำหนักทิศทางการเจรจา และติดตามมาตรการคว่ำบาตร (Sanction) จากประเทศพันธมิตรยูเครนต่อรัสเซียจะมีเพิ่มและยืดเยื้อ ประเมินมีโอกาสที่ตลาดหุ้นและราคาโภคภัณฑ์จะยังผันผวนต่อ

3.) ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คาดยังทรงตัวสูงเนื่องจากสงครามยืดเยื้อ กดดันการฟื้นตัวเศรษฐกิจและกำลังซื้อโลก แม้ช่วงสั้นจะผันผวน ล่าสุด ราคาน้ำมันดิบโลกปรับฐานแรงราว 7% โดยน้ำมัน WTI ลงต่ำ 100 เหรียญ ส่วนน้ำมัน Brent อยู่ 105 เหรียญ ผลจากฝั่งสหรัฐฯ ประธานาธิบดีโจ ไบเดนประกาศจะระบายน้ำมัน จำนวน 180 ล้านบาร์เรล ออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) โดยจะระบายน้ำมัน 1 ล้านบาร์เรล/วัน เวลา 6 เดือน และผลประชุม OPEC+ มีมติเพิ่มกำลังการผลิต 432,000 บาร์เรล/วัน ในเดือน พ.ค.

4.) ประเด็น Fed แม้เดือน เม.ย. ยังไม่มีการประชุม แต่ให้น้ำหนักรายงาน Fed minutes โดย KS ให้น้ำหนักประกาศลดขนาดงบดุล (Quantitative Tightening : QT) มากกว่า โดยในการประชุม 4 พ.ค Fed จะเริ่ม QT โดยต้องติดตามจะปล่อยให้พันธบัตรหมดอายุเอง (คาดตลาดหุ้นไม่น่าตอบรับเชิงลบมาก) แต่หาก Fed เพิ่มเติมด้วยการขายพันธบัตรออกมา (คาดตลาดหุ้นมีโอกาสตอบรับเชิงลบ) โดยภาพรวมภาวะที่ตลาดยังกังวล Inverted Yield Curve หลังจาก 10-2 Year Treasury Yield Spread ซึ่งเป็น Indicator ให้น้ำหนักล่าสุด ยิ่งเข้าใกล้ 0 และกลับมาติดลบ หมายถึงโอกาสเกิด recession มากขึ้น

มองหุ้นถัดไปมีโอกาส Underperform หุ้น Groeth จะ Outperform

ทั้งนี้ KS ยังประเมินจะทำให้หุ้นกลุ่ม Growth และกลุ่ม Tech จะเป็นที่พักเงิน (ทั้งฝั่งสหรัฐฯ และฮ่องกง) ส่วนตลาดหุ้นไทย KS ประเมินระยะถัดไป SET Index มีโอกาส Underpeform เพราะส่วนใหญ่หุ้นไทยจะเป็นกลุ่ม Value แต่หุ้นกลุ่ม Growth มีโอกาส Outperform โดยแนะนำ Trading

1.) กลุ่ม Growth อาทิ COM7 และ Tech Consult เช่น (BBIK, BE8) 2.) กลุ่มโรงไฟฟ้า (GULF, GUNKUL, BGRIM, GPSC, SSP) และ 3.) กลุ่ม Anti-commodities (EPG, SCGP, BGRIM, GULF, OR, AAV, BA) ตามราคาพลังงานและน้ำมันดิบโลกที่ปรับลง

ส่วนหุ้นแนะนำลงทุนในระยะกลางในช่วงเดือน เม.ย. แนะนำกลุ่มการเงิน (TIDLOR, ASK, THANI, AEONTS, BAM CHAYO) กลุ่มเครื่องดื่ม (SAPPE, CBG, OSP) ส่วนกลุ่มที่แนะนำชะลอการลงทุน คือ กลุ่มปิโตรเคมี และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

CGS-CIMB แนะหากไม่ผ่าน 1,720 จุด ให้หาจังหวะทำกำไร

บริษัทหลักทรัพย์ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด หาก SET สัปดาห์หน้าขึ้นผ่าน 1,700 จุด แต่ไม่ผ่านบริเวณ 1,710-1,720 จุด แนะนำขายทำกำไรออกบางส่วน แต่หากผ่านไปได้มีโอกาสที่จะขึ้นไปที่กรอบสูงสุดเดิมคือ 1,730-1,740 จุด (ขาย) โดยแนวโน้มในสัปดาห์หน้าคาดว่าดัชนีจะเริ่มซึมหรือ Sideway รองบ Q1/22 ของกลุ่มสถาบันการเงิน

ขณะที่ในสหรัฐฯ มีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือจากเรื่องงบ และความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยมากกว่าเรื่องอื่น เพราะตอนนี้สัดส่วนหุ้นของงบ Q1/22 ที่จะออกมาในเชิงลบหรือแย่มีมากกว่าที่จะออกมาดีสูงมาก

ส่วนงบกลุ่มธนาคารของไทยเมื่อออกมาไม่ว่าดีหรือไม่ มีแนวโน้มสูงที่ต่างชาติอาจขายหุ้นไทยบางส่วนออก เพราะตอนนี้ไม่มีประเด็นที่จะใช้เล่นหุ้น และที่สำคัญ ค่า PE สูงมากเทียบเอเชียไม่รวมญี่ปุ่น

โนมูระฯ เชีบร์หุ้นเด่น 5 กลุ่มน่าลงทุน

บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เดือน เม.ย.65 ประเด็นหลักที่กำหนดทิศทางของตลาด คือ

1) ความเสี่ยงของ Geopolitical Risk รัสเซียเร่งขึ้น หรือผ่อนคลายลง

2) ระดับราคาน้ำมันดิบ BRENT กรณีอยู่ใน กรอบ 95-120 เหรียญ ตลาดจะแกว่ง sideways แต่กรณีสูงกว่า 120 เหรียญ จาก Demand-Supply Deficit จะเร่งความเสี่ยงตลาดและกำไรตลาดจะเริ่มมี Downside จากอุตสาหกรรมต่างๆ ปรับต้นทุนไม่ทัน

และ 3) รายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยไตรมาส 1

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำหุ้นเด่น

1) กลุ่มที่มีการปรับโครงสร้างการเงินแข็งแรงขึ้นพร้อมรับการเติบโตกำไรก้าวกระโดด หนุนโอกาสเข้า SET 50 (JMART, JMT)

2) หุ้นที่รับประโยชน์และเติบโตตามระบบนิเวศของห่วงโซ่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่ขยายตัวแบบเร่งตัว (GPSC)

3) บริษัทที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นาอุตสาหกรรมจำนำทะเบียนรถ (TIDLOR) และ 4) หุ้น High Growth ที่เติบโตไปกับกระแสยุคใหม่ EVs & Digital Tranformatin & Digital Technology Consulting Services ฐานกำไรพร้อมเติบโตทานต่อความเสี่ยงเงินเฟ้อ (DTAC, KCE, BE8)

ส่วนหุ้นม้ามืดน่าจับตา Summer Play เครื่องดื่ม-โรงหนัง (ICHI, SAPPE, MAJOR) กลุ่ม รพ.ที่กำไรเด่น BCH, BDMS

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket